วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ลดหน้าท้อง ลดชัวร์ค่ะ เราลดมาแล้ว

วิธีนี้เราลองมากับตัวเองแล้วค่ะ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะว่ามันลดจริงๆ!!!

กรี๊สสสส ค่ะ

(แต่ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นมาอีกแหล่ว สาเหตุมาจากกินเยอะเกิน ไม่ต้องโทษใคร โทษตัวเองค่ะ ฮา~)

วิธีนี้บางคนอาจจะเคยเห็นเคยได้ยินมาบ้าง(ซึ่งเราก็เป็น 1 ในนั้นค่ะ คือได้ยินมาอีกทีเหมือนกัน)
แต่บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินมาหรืออาจจะลืมไปแล้ว
ก็สามารถดูในนี้และนำไปใช้ได้นะคะ

อุปกรณ์ : หนังยางรัดผม 1 เส้น อย่างหนังยางรัดถุงแกงไรงี้ก็อาจจะได้นะคะ แต่มันจะเจ็บ แนะนำให้เป็นยางมัดผมที่นิ่มๆที่เป็นผ้าดีกว่าค่ะ

วิธีทำ : 1. ง่ายมากค่ะ เพียงแค่เรานอนตัวตรง ขาเหยียดตรงค่ะ ไม่ต้องเกร็งมากนะคะ นอนตามสบาย
2. คราวนี้ เราก็เอาหนังยางรัดผมที่เตรียมไว้น่ะค่ะ มารัดหัวแม่เท้าทั้งสองข้างไว้ แค่นั้นแหละค่ะ(ไม่ต้องแน่นมากนะคะ เดี๋ยวเลือดไม่เดิน)
3. จากนั้นก็นอนเฉยๆ หรือจะนอนอ่านหนังสือ ฟังเพลง เล่นเกมก็ได้ แต่ต้องอยู่ในท่านอนหงายโดยที่มีหนังยางรัดหัวแม่เท้าไว้ ค้างไว้ซักประมาณ 5 นาที ทำเป็นประจำต่อเนื่องทุกวันจะเห็นผลดียิ่งขึ้นค่ะ

จากหลักการนี้ เมื่อเราเอาหนังยางมารัดหัวแม่เท่าทั้งสองข้างไว้จะทำให้เกิดการเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ และโดยเฉพาะที่หน้าท้องค่ะ เป็นวิธีง่ายๆที่จะนำมาซึ่งความเรียบของหน้าท้องค่ะ

ปล. บางคนอาจจะฟิตเกิน แบบ อยากลดเร็วๆเลยทำมันซัก10นาทีหรือ1ชั่วโมงเลย อย่านะคะ ห้ามเด็ดขาด ห้ามทำเกิน 5 นาทีนะคะ
ถ้าทำเกินเวลาที่กำหนด อาจจะได้โทษมากกว่าคุณนะคะ เพราะอาจจะทำให้เกิดการเกร็งตัวมากเกินไป ไม่ดีนะคะ 5นาทีแต่ทำทุกวันเท่านี้ก็โอเคแล้วค่ะ
ปล.2 หากทำแล้วในขณะทำมีอาการปวดมาก แบบปวดแบบเรารู้สึกว่าผิดปกติ ให้รีบหยุดเลยนะคะ แล้วก็ แนะนำให้นอนในที่ราบนะคะ คือเราเคยลองนอนแบบหนุนหมอนสูง แล้วทำ โอ้โห หลังจากนั้นปวดเอวสุดๆ ไม่ไหวๆ

สู้ๆนะคะทุกคน เราก็จะกลับไปทำต่อล่ะค่ะ ไม่ไหวแหล่ววว

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

Clip วิธีลดสะโพก

เผื่อคนที่อ่านข้างล่างแล้วนึกท่าไม่ออกค่ะ

เรามีท่าใหม่มาให้ได้เลือกทดลองใช้กันค่ะ

ได้ผลเป็นยังไงบอกกันด้วยนะคะ ^^


วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

สูตรลดต้นขากับสะโพก ชัวร์!!!

อะแฮ่มๆ สวัสดีค่ะ วันนี้มีสูตรมาแนะนำค่ะ

สูตรนี้เพื่อนเราแนะนำมาค่ะ มันพูดซะแบบว่า

"แก ถ้าแกขยันมากพอ 2 เดือน ชั้นรับรอง สวยแน่"

นี่~~~ มีให้กำลังใจๆ

ประมาณว่าเราได้สูตรมา3วันแล้ว แต่ยังไม่เริ่มทำเลย(เอ้า อินี่)

ก็ เพื่อนเรามันบอกว่า สูตรนี้เป็นสูตรของนักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นคนหนึ่ง

นักเขียนคนนี้เค้าบอกว่างานของเค้าเป็นงานที่จะต้องนั่งทำนั่งวาดอยู่ตลอด

ทำให้ร่างกายไม่ค่อยได้มีความเคลื่อนไหว

แล้วถ้าร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวก็จะไม่ค่อยได้เผาผลาญพลังงานใช่มั๊ยคะ(ก็คือเกิดการสะสมนั่นเอง)

จนทำให้เกิดปัญหาตามมานั่นคือ!!!

สะโพก + ขาใหญ่ และตู_ใหญ่เพราะทั้งวันต้องนั่งทำงานตลอด

กะรี๊ดดดดดดด(อินี่จะบิ๊วอารมณ์ไปถึงไหน)

คนที่นั่งบ่อยๆ นานๆ นั่งเล่นคอมไรแบบนี้ระวังก้นใหญ่นะคะ(เหมือนมีเข็มเล่มใหญ่เสียบฉึกเข้ากลางอก แทงใจ)


วิธีนี้ไม่ยากค่ะ แล้วก็ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย

เพียงแค่หมั่นทำทุกวัน ก็โอเคแล้วค่ะ


วิธีที่ว่านี้คือ

1. เริ่มจากยืนก่อนนะคะ ยืนตรงๆนี้แหละค่ะ ไม่ต้องเกร็งนะคะ (วุ๊ยย ไอเจ้าของบล๊อคนี่มันลีลาจริง -*-)

2. หลังจากนั้น ค่อยๆยกขาขึ้น คือยกขาขึ้นมาให้ช่วงต้นขาไปตลอดจนปลายเท้านั้นขนานกับพื้นค่ะ ขาเราจะอยู่ในลักษณะเป็นตัวL น่ะค่ะ พูดงี้ไม่ค่อยเห็นภาพเนอะ คือไงดี ก็ เริ่มจากยืนก่อนนะคะ แล้วต่อมาค่อยๆยกขาขึ้น แบบยกขึ้นมาตรงๆเลย ยกหัวเข่าขึ้นมาน่ะค่ะ(ขาเราจะเป็นตัวLคว่ำใช่มั๊ยคะ) แล้วหลังจากนั้นเราค่อยๆเลื่อนช่วงน่องขาออกไปข้างลำตัว เหมือนกับถีบขาออกไปข้างตัวอ่ะค่ะ(แต่ไม่ต้องถีบแรงนะคะ แค่เปรียบเทียบ เดี๋ยวจะเคล็ดก่อนได้เพรียวนะคะ 55) เหมือนกับเวลาเราว่ายน้ำท่ากบอ่ะค่ะ ช่วงที่เรากางขาออกตอนที่ยังไม่ถีบน้ำน่ะค่ะ ท่านั้นเลย เพียงแต่แตกต่างกันตรงที่ตอนว่ายท่ากบเรากางขา 2 ข้างใช่มั๊ยคะ แต่ในกรณีนี้เรากางข้างเดียว อีกข้างยืนตรงๆไว้ ส่วนข้างที่เรายกขึ้นมาพยายามให้ขาขนานกับพื้นให้มากที่สุด นั่นแหละค่ะ นับ1-10แล้วก็สลับข้างแล้วก็นับอีก สลับข้างไปเรื่อยๆ แนะนำว่าค่อยเป็นค่อยไปนะคะ อย่าหักโหม เราลองแล้ว แค่ประมาณ5วิยังแบบ...เส้นตึงไม่หมดเลย 555 แนะนำให้ยืดเส้นก่อนนะคะ เดี๋ยวตะคริวกินได้

3. ทำทุกวันค่ะ 2 เดือนเห็นผล(ง่ายๆงี้เลยเหรอคะ)


ปล.กลัวจะงงกันจังเลย ไม่มีรูปด้วยง่ะ ก็คือ ช่วงแรกที่เราบอกว่ายกขาขึ้นมาเป็นตัวL คว่ำอ่ะค่ะ จะเห็นว่ามุมของหัวเข่าเราจะชี้ไปข้างหน้าตัวเราใข่มั๊ยคะ แล้วส่วนช่วงน่องขาก็จะชี้ลงพื้น(พูดง่ายๆคือตั้งฉากกับพื้นนั่นเอง) แต่พอช่วงที่เราบอกให้ถีบขาออกด้านข้างอ่ะค่ะ นึกสภาพเวลาสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อ่ะค่ะ บรื๊นๆ นั่นแหละค่ะ พยายามให้หัวเข่าชี้ไปทิศข้างลำตัวเราน่ะค่ะ อย่างเช่นเรายกขาขวาขึ้น ตอนแรกเข่าชี้ไปข้างหน้า พอสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ปุ๊บ หัวเข่ามันจะชี้ไปทางขวามือเราใช่มั๊ยคะ ในขณะที่ช่วงน่องขาเรา ปลายเท้าเราก็ชี้ไปทางข้างหลัง นั่นแหละค่ะ พยายามยกขาขึ้นมาในท่านั้นให้ขนานกับพื้นน่ะค่ะ โดยที่ให้หัวเข่าหันไปทางขวา และช่วงน่องขาให้ชี้ไปข้างหลัง ส่วนปลายเท้าไม่ต้องซีเรียสค่ะ ไม่ต้องเกร็ง เรายกขาขึ้นมาปลายเท้าจะหันไปทางไหนก็ปล่อยมันไปตามสบายค่ะ ถ้ากลัวล้มจะเกาะกำแพงก็ได้นะคะ ทำข้างละ10วิค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

น้ำมะนาว...กับสิว(2)(เวอร์ชั่นดื่ม)

ต่อจากตอนที่แล้วนะคะ แต่อันนี้สำหรับดื่มค่ะ

++++++++++++++++++++++++++++

ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิว

สามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่าย

ความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :

-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)

-บรรเทาอาการท้องผูก

-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด

-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร

-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 1

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว

2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)

3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวัน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 2

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)

2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า

3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกาย

น้ำมะนาว...กับสิว(1)(เวอร์ชั่นทา)

สวัสดีค่ะทุกท่าน

เรามีสูตรใหม่มาแนะนำอีกแล้วค่ะ 555

พอดีเราไปเจอบทความนี้มาจากในเวปเด็กดี แต่จำชื่อคนโพสไม่ได้อีกแล้ว T^T
ต้องขอโทษจริงๆค่ะ แล้วก็ขอขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับวิธีดีๆแบบนี้ ขอบคุณจริงๆค่ะ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


น้ำมะนาว รักษาสิวด้วย"วิธีธรรมชาติ" ... หาได้จากตู้เย็นในครัวที่บ้าน

ใช้น้ำมะนาวเพื่อบรรเทา / รักษาสิว เป็นวิธีธรรมชาติในการรักษาสิวที่ง่ายและปลอดภัย
สามารถใช้ได้ทั้งทาบนผิวและดื่ม ทั้งสองวิธีจะช่วยลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นทั้งภายนอกและภายใน

ได้มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้น

ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิว

น้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย


สูตรน้ำมะนาว / วิธีใช้

1.ล้างหน้าให้สะอาด

2.บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป

3.ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง

4.ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)

5.หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น


วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

สิวเสี้ยนเกิดขึ้นได้อย่างไร

(ไปเจอข้อมูลมาค่ะ น่าสนใจดี ขออนุญาตนำมาแปะนะคะคุณหมอ)

สิวเสี้ยนเกิดได้อย่างไร

กลไกการเกิดของสิวเสี้ยน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการสร้างเซลล์ขนมากผิดปกติ โดยมักจะเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก ดังนั้นผู้ที่มีผิวมันหรือบางบริเวณของผิวหนังที่มันมักจะเกิดสิวเสี้ยนได้ง่าย การเกิดสิวเสี้ยน มักจะเริ่มจาก มีการอุดตันเกิดขึ้นที่ท่อของต่อมไขมัน หรือต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ มีการผลิตไขมันออกมาสู่ผิวจำนวนมาก จึงเกิดการอุดตันในรูขุมขน คล้ายคลึงกับสิวที่เกิดตามธรรมชาติ และไขมันที่ถูกสร้างขึ้นนั้นจะรวมตัวกับเซลล์ชั้นขี้ไคลจากผนังท่อ กลายเป็นก้อนที่เรียกว่า คอมีโดน ลักษณะสำคัญของสิวเสี้ยน ที่ต่างจากสิวธรรมดา คือ นอกจากจะมีการอุดตันของไขมัน หรือคอมีโดน เป็นก้อนขาวๆแล้ว ยังมีขนที่คุดคู้อยู่ข้างในด้วย คือในรูขุมขนแทนที่จะมีขนเพียง 1 เส้น แต่กลับมีขนอ่อนเส้นเล็กๆหลายเส้นอัดกันแน่น รวมตัวกับเซลล์ชั้นขี้ไคล และถูกห่อหุ้มด้วยผนังท่อต่อมไขมัน เกิดการอุดตัน และทำให้การหลุดร่วงของเส้นขนเล็กๆนั้นไม่เป็นไปตามปรกติคือหลุดออกได้ยากกว่าปกติ ถ้าลองบีบดูจะเห็นเป็นเส้นสีขาวเหมือนตัวหนอน และหากส่องด้วยแว่นขยาย จะเห็นขนอ่อนจำนวนมาก ประมาณ 6-50 เส้น ทำให้นอกจากมีลักษณะเป็นจุดดำๆ แล้ว ยังมีหนามแหลมๆ ยื่นออกมา มองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะเวลาใช้มือคลำจะรู้สึกสะดุดเป็นหนาม

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยน

1. ฮอร์โมนเพศในร่างกาย ซึ่งมีผลกระตุ้นต่อมไขมัน ให้ทำงานมากขึ้น ผลิตไขมันออกมามาก อาจทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น
2. การรบกวนผิวมากๆ เช่น การเช็ดถูหน้าแรงๆ, การขัดหรือนวดหน้า ซึ่งอาจรบกวนรูขุมขน หรือต่อมไขมัน ทำให้รูขุมขน หรือรากขนนั้นแตก ขนจึงมีโอกาสที่จะคุดอยู่ข้างในได้



การรักษาสิวเสี้ยน

1. การทายารักษาสิวเสี้ยน
1.1) ใช้กรดวิตะมินเอ (retinoic acid) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยละลายการอุดตันของต่อมไขมัน ลดการเกาะตัวของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์บริเวณรูขุมขน จึงป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนใหม่ และทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้ง่าย ข้อควรระวังคือ กรดวิตะมินเอ ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวหนังได้ง่าย อาจทำให้ผิวแห้ง แสบและลอก และหน้าแดงได้ จึงควรทากรดวิตะมินเอ เฉพาะบริเวณจมูก หน้าผาก หรือคางที่มีสิวเสี้ยน วันละครั้งก่อนนอน หลีกเลี่ยงการทาบริเวณรอบดวงตา รอบจมูก หรือรอบปากซึ่งผิวหนังบริเวณดังกล่าวนี้บางกว่าบริเวณอื่น ส่วนใหญ่ควรทากรดวิตะมินเอ อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อน ถ้าสิวเสี้ยนไม่หลุดออกมาเอง อาจกดออก โดยมากมักจะเริ่มเห็นผลว่าสิวเสี้ยนมีปริมาณลดลง เมื่อใช้ยาชนิดนี้นาน 3-4 เดือน บางรายอาจทำให้มีสิวมากขึ้นในช่วง 3-4 สัปดาห์แรกของการใช้ยาได้ และควรใช้ครีมกันแดดทาทั่วหน้าในตอนเช้า เพราะการทากรดวิตะมินเอนั้น อาจทำให้ผิวหน้าไวกว่าปกติ หากโดนแสงแดดอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองของผิวหน้าได้

1.2) ใช้ยาทากลุ่มเบนซิลเปอร์ออกไซด์ ( benzoyl peroxide) โดยใช้ทาทั่วหน้าก่อนล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง คือตอนเช้าและเย็น หรือก่อนนอน แล้วทิ้งไว้ 5 -10 นาที หรืออาจทิ้งไว้นานกว่านี้ได้ ถ้าผู้ใช้มีผิวมัน และรับยาได้ดี แล้วจึงล้างหน้าออกด้วยน้ำสะอาด ยานี้ออกฤทธิ์โดยลดปริมาณไขมันที่ผิวหนัง และช่วยละลายสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขน จึงลดการอุดตันของต่อมไขมันได้ แต่อาจทำให้หน้าแดง แสบ แห้งเป็นขุยได้ เริ่มต้นควรใช้ขนาดความเข้มข้นต่ำก่อน เมื่อผิวหนังเริ่มชินกับยา จึงเพิ่มระยะเวลาให้ยาสัมผัสผิวนานขึ้น และเพิ่มความเข้มข้นของยาได้
ไขมันที่อุดตันมักถูกละลายโดยยาทาทั้ง 2 ชนิดนี้ แต่ขนที่คุดเป็นเส้นดำๆ อยู่ใต้ผิวนั้นมักจะไม่ยอมหลุด อาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วยเช่น การกดออก ยาทาทั้ง 2 ชนิดนี้อาจก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนได้ จึงควรใช้ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียวก่อนก็ได้ ถ้าไม่ได้ผล อาจให้ใช้ยา 2 ชนิดร่วมกัน

2. การใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน โดยอาจจะอยู่ในรูปของแผ่นแปะจมูกที่เคลือบสารที่ทำให้ติดแน่น แปะที่จมูกและทิ้งไว้ระยะหนึ่ง แล้วค่อยดึงออก หรือ ใช้สาร cyanoacrylate polymer glue ซึ่งมีคุณสมบัติในการติดแน่น คล้ายคลึงกับกาวตราช้าง ทาบนแผ่นสไลด แล้วนำไปวางบริเวณที่มีสิวเสี้ยน แล้วดึงออก สิวเสี้ยนจะหลุดติดออกมา วิธีนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ราคาไม่แพง พอทำ ให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้บ้าง แต่มักกำจัดสิวเสี้ยนได้ไม่หมด และไม่สามารถกำจัดสิวเสี้ยนได้ทุกที่ แต่ควรระมัดระวัง เพราะสารเคมีที่ใช้ อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ และไม่ควรใช้เกินสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

3. ใช้เครื่องมือกดสิว ( comedone extractor ) กดตามบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยนดำ ถ้าเป็นสิวหัวดำก็จะมีก้อนไขมันสีดำกลมๆ เล็กๆ ผุดออกมา ถ้าเป็นสิวเสี้ยนชนิดเส้นขนอุดตันก็จะได้กระจุกของเส้นขนอุดตัน แต่วิธีนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ ผิวหนังระคายเคืองได้ และหากกดไม่ถูกวิธี สิวอุดตันอาจจะแตกออกจากท่อรูขุมขนโดยยังฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้

4. การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ (chemical Peeling) เป็นกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการลอกหลุดของเซลล์ผิวหน้า รวมทั้งไขมันที่อุดตัน ด้วยกรดผลไม้ (Alpha Hydroxy Acid: AHA) หรือ trichloracetic acid (TCA) ทำให้สิวเสี้ยนง่ายต่อการกดออก อย่างไรก็ตาม การลอกผิวหน้าหรือการกดออกมักได้ผลในระยะเวลาสั้นๆ อาจต้องทายาร่วมด้วยเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

5. มาสก์ผิวด้วยไข่ขาว เป็นวิธีที่เก่าแก่ แต่ช่วยให้สิวเสี้ยนลอกตัวออกมาได้บ้าง โดยทาไข่ขาว บางๆ ที่จมูกหรือข้างแก้ม แล้วนำกระดาษซับหน้าเพียงชั้นเดียว หรือกระดาษชำระคลี่ให้บาง แปะทับลงไป ปล่อยให้แห้ง แล้วจึงดึงออก จะมีสิวเสี้ยนหลุดติดออกมาด้วย

6. การใช้เครื่อง IPL (intense pulse light) เนื่องจากสิวเสี้ยน คือ กระจุกขนที่อัดแน่นบริเวณรูขุมขน การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL จึงสามารถทำให้ขนที่คุดคู้เหล่านี้หลุดออกได้ เมื่อทำควบคู่กับการลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ และการทายารักษาสิวเสี้ยน วิธีนี้จะช่วยป้องกันการเกิดเซลล์ขนใหม่ในบริเวณดังกล่าวด้วย ซึ่งได้ผลดี ผลข้างเคียงน้อย และสามารถทำได้ทุกบริเวณของร่างกายที่มีสิวเสี้ยน

7. การใช้เลเซอร์ มักจะกำจัดจุดดำๆ จากสิวเสี้ยนได้มากกว่าร้อยละ 50 และเมื่อทำหลายๆ ครั้งสามารถกำจัดสิวเสี้ยนได้เกือบหมด แต่ไม่ช่วยในเรื่องรูขุมขนที่กว้าง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดสิวเสี้ยนได้อีก หลังทำอาจมีผลข้างเคียงคือรอยแดงบริเวณรูขุมขน ประมาณ 2-3 วัน รอยแดงดังกล่าวมักจะหายได้เอง วิธีนี้ใช้ได้ผลดีในกรณีของสิวเสี้ยนหัวดำ แต่ค่าบริการค่อนข้างแพง

สิวเสี้ยนนั้น หากไม่รำคาญมากนัก อาจทิ้งไว้เฉยๆ ก็ได้ เพราะธรรมชาติมักจะค่อยๆขจัดออกไปเอง ไม่ต้องเสี่ยงต่อผลแทรกซ้อนจากการใช้ยาหรือการใช้กรรมวิธีต่างๆ ที่กล่าวมา สิวเสี้ยนนั้น ยังไม่มีวิธีที่จะรักษาให้หายขาดได้ 100 % ภาวะดังกล่าวสามารถรักษาให้ทุเลาลงได้ หากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เหมาะสม





การป้องกันการเกิดสิวเสี้ยน

การรักษาควรควบคู่กับการป้องกัน เพราะรูขุมขนที่กว้างนั้น ง่ายต่อการเกิดการหมักหมม ของสิ่งสกปรกและจุลินทรีย์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้รูขุมขนกว้าง และการรบกวนรูขุมขน เช่น การนวดหน้า การขัดหน้า การเช็ดถูหน้าแรงๆ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ ใช้ยาทาป้องกัน สิวเสี้ยนพวกกรดวิตะมินเอ และเบนซิลเปอร์ออกไซด์ หลังจากล้างหน้าแล้วควรใช้โทนเนอร์ที่ไม่ผสมน้ำมัน เช็ดสิ่งสกปรกที่ตกค้างออก และอาจลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ เพื่อขจัดเซลล์ที่ตายแล้วอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรือ ทุก 2 สัปดาห์ ไม่ควรบีบหรือ กดสิวเอง เพราะอาจทำให้เกิดสิวอักเสบ และการติดเชื้อลุกลามได้
คนผิวมัน มีโอกาสเกิดสิวเสี้ยนได้ง่าย เนื่องจากต่อมไขมันมีขนาดโต และมีปริมาณน้ำมัน ออกมาฉาบผิวค่อนข้างมาก จึงเกิดการอุดตันปิดปากรูขุมขนได้ง่าย การลดความมันของใบหน้า จึงช่วยป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนได้

วิธีลดความมันของผิวหน้าและลดการอุดตันของรูขุมขน

1. เลือกใช้เครื่องสำอางที่ช่วยดูดซับความมันของผิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเนื้อเบา ชนิดโลชั่นจะดีกว่าชนิดครีม และใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย จะช่วยลดการอุดตันบริเวณรูขุมขน
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA ซึ่งช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่ตกค้างออก และลดการเกิดสิวเสี้ยนได้
3. เครื่องสำอางหลายชนิด มีส่วนผสมของกรดวิตะมินเอ ซึ่งนอกจากจะช่วยต่อต้านริ้วรอยแล้ว ยังช่วยเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวด้วย แต่ข้อเสียคือ อาจเกิดการแพ้ได้ง่าย จึงอาจเลือกใช้วันเว้นวัน และควรทาตอนผิวแห้งสนิท เนื่องจากปฏิกิริยาระหว่างกรดวิตะมินเอกับน้ำ อาจทำให้ผิวลอกตัวมากขึ้น และควรเลือกใช้เครื่องสำอางชนิดที่ไม่มีไขมัน (oil free) เป็นส่วนประกอบ
4. การซับหน้าในระหว่างวัน โดยใช้กระดาษซับหน้า กดซับความมันที่ผิวออก เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความมันของผิวได้เช่นกัน
5. การอบไอน้ำให้กับผิว ช่วยทำความสะอาดผิวหน้า ลดสิ่งสกปรกที่คั่งค้างบนผิวได้ดี เหมาะสำหรับคนผิวมัน ควรทำสัปดาห์ละครั้ง
6. การล้างหน้า ควรล้างด้วยสบู่อ่อน (ที่ใช้สารเคมีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดสิว) ที่เหมาะสำหรับผิว และน้ำสะอาด วันละไม่เกิน 2 ครั้ง ไม่ควรล้างหน้านานๆ หรือถูแรง ๆ การใช้สบู่มากเกินไปอาจทำให้เกิดสิวได้
7. ควรรับประทานอาหารให้ได้สัดส่วน รับประทานไขมันให้น้อยที่สุด รับประทานผักสด ผลไม้มากๆ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว

ข้อมูลจาก ผศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

สิวเสี้ยน...สิวหัวดำ(2)

มาอีกวิธีกันค่ะ

วิธีนี้พอดีเหมือนจะเคยอ่านเจอแว๊บๆ(ต้องขออภัยจริงๆค่ะที่จำไม่ได้ว่าเจอที่ไหน)
ขอขอบคุณสำหรับวิธีดีๆนี้ด้วยนะคะ m(_ _)m


อุปกรณ์ที่ต้องใช้ : เกลือ(เกลือธรรมดานี่แหละค่ะ) , คลีนซิ่ง , น้ำร้อน(ไม่ต้องร้อนมากนะคะ เพราะเราเอามาใช้เปิดรูขุมขนค่ะ)

วิธีทำ : 1. เอาน้ำร้อนใส่อ่าง แล้วเอาหน้าไปอังเพื่อเปิดรูขุมขนค่ะ หรือใช้ผ้าสะอาดๆชุบน้ำร้อนอุณหภูมิพอประมาณแล้วมาวางไว้บนใบหน้าค่ะ

2. เอาเกลือที่เตรียมไว้นะคะ ผสมกับคลีนซิ่ง แล้วถูเบาๆ

3. ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นค่ะ

ทำประมาณ 2 อาทิตย์ ต่อ 1ครั้งกำลังดีค่ะ สำหรับคนหน้าแห้ง หลังจากทำเสร็จให้ทาครีมด้วยนะคะ ^^